วันอังคารที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2561

6) การเงินและการธนาคาร



ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ การเงินและการธนาคาร

          เงิน คือ สิ่งใดๆ ก็ตามที่สังคมยอมรับโดยทั่วไปในขณะใดขณะหนึ่ง และในเขตพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งในฐานะเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการ ทั้งนี้สิ่งนั้นจะต้องถูกกำหนดค่าขึ้นเป็นหน่วยเงินตราและเป็นหน่วยวัดค่าที่แน่นอน (Kamontip Punwong, 2556)

          วิวัฒนาการของเงิน
·       เงินที่เป็นสิ่งของหรือสินค้า (Commodity Money)
·       โลหะและเหรียญ (Coins)
·       ธนบัตร (Paper Money)
·       เงินฝากกระแสรายวัน (Demand Deposits)

          คุณสมบัติของเงินที่ดี
·       เป็นสิ่งที่หายาก
·       มีมูลค่าคงที่
·       มีปริมาณที่ยืดหยุ่นได้
·       นำติดตัวไปได้สะดวก
·       สามารถแบ่งเป็นหน่วยย่อยได้
·       มีความคงทน

          การแลกเปลี่ยน
·       ระบบการแลกเปลี่ยนสิ่งของต่อสิ่งของ (Barter System)
·       ระบบที่มีการใช้เงินเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน (Money)
·       ระบบที่ใช้เครดิตเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน (Credit)

          หน้าที่ของเงิน
·       เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน (Medium of Exchange)
·       เป็นเครื่องวัดมูลค่า (Standard of Value)
·       เป็นมาตรฐานการชำระหนี้ในอนาคต (Standard of Deferred Payment)
·       เป็นเครื่องรักษามูลค่า (Store of Value)

          ปริมาณเงิน (Money Supply)
          ปริมาณเงินตามความหมายแคบ (M1) หมายถึง สินทรัพย์ทางการเงินที่ใช้เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน ซึ่งประกอบด้วยเหรียญกษาปณ์ ธนบัตร และเงินฝากกระแสรายวันทั้งหมดที่อยู่ในมือของประชาชน บริษัท ห้างร้าน และองค์กรธุรกิจอื่นๆ ในขณะใดขณะหนึ่ง
          M1 = เหรียญกษาปณ์ + ธนบัตร + เงินฝากกระแสรายวัน
          *** ไม่รวมธนาคาร ไม่รวมธนาคารกลาง และกระทรวงการคลัง
          ปริมาณเงินตามความหมายกว้าง (M2) หมายถึง ปริมาณเงินตามความหมายแคบ (M1) บวกด้วยสินทรัพย์ทางการเงินที่ให้ผลตอบแทนและสามารถเปลี่ยนเป็นเงินที่ใช้เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนโดยง่าย ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเลย หรือเสียค่าใช้จ่ายเพียงเล็กน้อย
          M2 = M1 + เงินฝากออมทรัพย์และเงินฝากประจำ
          ปริมาณเงินตามความหมายกว้างมาก (M3) หมายถึงปริมาณเงินตามความหมายกว้าง (M2) บวกด้วยตั๋วสัญญาใช้เงินของบริษัทเงินทุนที่ถือโดยเอกชน
          M3 = M2 + ตั๋วสัญญาใช้เงิน
          ตลาดการเงิน (Financial Market) คือตลาดที่อำนวยความสะดวกในการโอนเงินจากหน่วยเศรษฐกิจที่มีเงินออมไปยังหน่วยเศรษฐกิจที่ต้องการเงินออม (เพื่อนำไปลงทุน)

          โดยจะจำแนกตามระยะเวลาของเงินทุนหรือตราสารทางการเงินได้เป็นต้น
          1. ตลาดเงิน เป็นแหล่งระดมเงินออมระยะสั้น (ไม่เกิน 1 ปี) แล้วจัดสรรให้กู้ยืมแก่ผู้ที่ต้องการเงินทุน ซึ่งตราสารทางการเงินที่ใช้ในตลาดเงิน คือ ตั๋วสัญญาใช้เงิน ตั๋วแลกเงิน และตั๋วเงินคลัง เป็นต้น โดยตลาดเงินสามารถแบ่งออกได้เป็น
                   1.1 ตลาดเงินในระบบ คือ สถาบันการเงินที่จัดตั้งขึ้นโดยถูกต้องตามกฎหมาย เช่น ธนาคารพาณิชย์ บริษัทเงินทุนและหลักทรัพย์ เป็นต้น
                   1.2 ตลาดเงินนอกระบบ คือ แหล่งที่มีการกู้ยืมเงินโดยไม่มีกฎหมายรองรับ การดำเนินการขึ้นอยู่กับข้อตกลงและความพอใจของผู้ให้กู้และผู้กู้ เช่น การเล่นแชร์ การให้กู้ การฝากขาย เป็นต้น
          2. ตลาดทุน เป็นแหล่งระดมเงินออมระยะยาว (เกิน 1 ปี) เพื่อจัดสรรให้กับผู้ที่ต้องการเงินทุนระยะยาว ซึ่งตราสารทางการเงินที่ใช้ในตลาดทุน ได้แก่ การกู้ระยะยาว หุ้นกู้ หุ้นสามัญ พันธบัตร ทั้งของรัฐบาลและเอกชน เป็นต้น โดยตลาดทุนอาจแบ่งเป็นตลาดสินเชื่อทั่วไปซึ่งประกอบด้วยธนาคารพาณิชย์และบริษัทเงินทุนและตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งแบ่งออกเป็นตลาดแรกและตลาดรอง
                   2.1 ตลาดแรก (Primary Market) คือตลาดที่ซื้อขายหลักทรัพย์ออกใหม่
                   2.2 ตลาดรอง (Secondary Market) คือตลาดที่ซื้อหลักทรัพย์เก่า (ที่เคยซื้อขายเปลี่ยนมือกันมาก่อน)
          ธนาคารพาณิชย์ (Commercial Bank) หมายถึง การประกอบธุรกิจประเภทรับฝากเงินที่ต้องจ่ายคืนเมื่อทวงถามหรือเมื่อสิ้นระยะเวลาที่กำหนดไว้ และใช้ประโยชน์เงินนั้นในทางหนึ่งหรือหลายทาง เช่น ให้กู้ยืมเงินซื้อขายหรือเก็บเงินตามตั๋วเงินหรือตราสารเปลี่ยนมืออื่นใด ซื้อหรือขายเงินตราต่างประเทศ เป็นต้น ทั้งนี้จะประกอบธุรกิจประเภทอื่นอันเป็นประเพณีที่ธนาคารพาณิชย์พึงกระทำหรือไม่ก็ตาม

          หน้าที่ของธนาคารพาณิชย์
·       ให้บริการทางการเงินทั้งในและต่างประเทศ เช่น รับฝากเงิน โอนเงิน ให้กู้เงิน รับเก็บรักษาของมีค่า
·       สร้างและทำลายเงินฝากซึ่งเป็นหน้าที่พิเศษโดยเฉพาะของธนาคารพาณิชย์ สถาบันการเงินประเภทอื่นไม่มีอำนาจและหน้าที่เช่นนี้ ซึ่งทำให้ธนาคารพาณิชย์แตกต่างจากสถาบันการเงินประเภทอื่น
          อัตราเงินสดสำรองตามกฎหมาย (Legal Reserve Ratio) เป็นอัตราที่ธนาคารกลางกำหนดขึ้นคิดเป็นร้อยละของเงินฝาก โดยธนาคารพาณิชย์ทุกแห่งที่มีเงินฝากจะต้องดำรงเงินสดสำรองโดยฝากไว้ที่ธนาคารกลางอย่างน้อยที่สุดไม่ต่ำกว่าอัตราที่กำหนดนี้เงินสดสำรองตามกฎหมายหรือเงินสดสำรองที่ต้องดำรง (Legal Reserve or Reserve Requirement) คือ จำนวนเงินสดที่ธนาคารพาณิชย์ต้องดำรงเมื่อเทียบกับจำนวนเงินฝาก ซึ่งปัจจุบัน ธนาคารกลางได้กำหนดอัตราเงินสดสำรองไว้ที่ 6% หมายความว่ากู้เงิน 100 บาท จากธนาคาร เราจะได้เงิน 94 บาท ส่วนอีก 6 บาทก็จะนำไปเก็บที่ธนาคารกลาง
          ปริมาณเงินจะเพิ่มขึ้นหรือลดลงมากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับ
                   การฝากเงิน / การถอนเงิน
                   ฝากเงิน = ปริมาณเงินเพิ่ม
                   ถอนเงิน =    ปริมาณเงินลด

          ธนาคารกลาง (Central Bank) คือ สถาบันการเงินที่ได้รับมอบอำนาจจากรัฐบาลให้ควบคุมดูแลระบบการเงินและเครดิตของประเทศให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม เพื่อให้เกิดประโยชน์แก่เศรษฐกิจและสังคมส่วนรวม

          ข้อแตกต่างระหว่างธนาคารกลางและธนาคารพาณิชย์
·       ธนาคารกลางทำหน้าที่เพื่อประโยชน์ของประเทศเป็นหลัก ไม่ใช่แสวงหากำไรเหมือนธนาคารพาณิชย์
·       ธนาคารกลางไม่ดำเนินธุรกิจแข่งขันกับธนาคารพาณิชย์
·       ลูกค้าของธนาคารกลางและธนาคารพาณิชย์เป็นคนละประเภทกัน

          หน้าที่ของธนาคารกลาง
·       ออกธนบัตร
·       เป็นนายธนาคารของรัฐบาล
·       รักษาบัญชีเงินฝากของรัฐบาลและรัฐวิสาหกิจ
·       ให้รัฐบาลและรัฐวิสาหกิจกู้ยืมเงิน
·       เป็นที่ปรึกษาทางการเงินของรัฐบาล
·       เป็นตัวแทนทางการเงินของรัฐบาลในการกู้ยืมเงินจากต่างประเทศ การชำระเงินกู้ การโอนเงินระหว่างประเทศ และภายในประเทศให้รัฐบาล
·       เป็นนายธนาคารของธนาคารพาณิชย์
·       รักษาเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ต่างๆ
·       เป็นสำนักงานกลางในการหักบัญชี
·       ให้ธนาคารพาณิชย์กู้ยืมเงิน
·       เป็นศูนย์กลางการโอนเงินระหว่างธนาคาร
·       เป็นผู้รักษาเงินสำรองระหว่างประเทศ
·       เป็นผู้ให้กู้ยืมแหล่งสุดท้าย
·       เป็นผู้ควบคุมปริมาณเงินและเครดิต
·       เป็นผู้ควบคุมธนาคารพาณิชย์

          นโยบายการเงิน (Monetary Policy) คือ การดูแลปริมาณเงินและสินเชื่อโดยธนาคารกลาง เพื่อให้บรรลุเป้าหมายทางเศรษฐกิจประการใดประการหนึ่งหรือหลายประการ

          ประเภทของนโยบายการเงิน
·       นโยบายการเงินแบบเข้มงวด (Restrictive Monetary Policy) คือ การใช้เครื่องมือต่างๆทางการเงินเพื่อให้ปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจลดลง
·       นโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย (Easy Monetary Policy) คือ การใช้เครื่องมือต่างๆ ทางการเงินเพื่อให้ปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น

          เครื่องมือของนโยบายการเงิน
·       การควบคุมทางปริมาณหรือโดยทั่วไป (Quantitative or General Control) โดยเครื่องมือที่ใช้ในการควบคุมทางปริมาณ ได้แก่
o   การซื้อขายหลักทรัพย์ (Open-Market Operation)
o   อัตรารับช่วงซื้อลด (Rediscount Rate)
o   อัตราดอกเบี้ยมาตรฐาน (Bank Rate)
o   เงินสดสำรองที่ต้องดำรง (Reserve Requirement)
·       การควบคุมทางคุณภาพหรือโดยวิธีเลือกสรร (Qualitative or Selective Credit Control) เป็นการควบคุมชนิดของเครดิตซึ่งใช้ในกรณีที่ธนาคารจำเป็นต้องจำกัดเฉพาะเครดิตบางชนิดเท่านั้น โดยชนิดของเครดิตที่ธนาคารกลางมักจะเลือกควบคุม ได้แก่
o   การควบคุมเครดิตเพื่อการซื้อหลักทรัพย์
o   การควบคุมเครดิตเพื่อการอุปโภคบริโภค
o   การควบคุมเครดิตเพื่อการซื้อบ้านและที่ดิน
·       การชักชวนธนาคารพาณิชย์ให้ปฏิบัติตาม

          การคลังสาธารณะ
          รายได้ของรัฐบาล จะได้มาจากการเก็บภาษีอากร และรายได้ที่มิใช่ภาษีอากร
          ภาษีอากร เป็นรายได้ของรัฐบาลที่บังคับเก็บจากประชาชน เพื่อประโยชน์ของคนในประเทศ โดยผู้จ่ายไม่ได้รับประโยชน์ตอบแทนตามส่วนของเงินที่จ่าย โดยรายได้ของรัฐบาลไทยมากกว่าร้อยละ 80 เป็นรายได้จากภาษีอากร
          รายจ่ายของรัฐบาล การใช้จ่ายของรัฐบาล เป็นการใช้จ่ายในสิ่งที่รัฐบาลต้องทำ เพื่อประโยชน์ของคนทั้งประเทศ ซึ่งได้แก่ การรักษาความสงบภายในประเทศ การป้องกันประเทศและการลงทุนในสาธารณูปโภค
          หนี้สาธารณะ หนี้ของรัฐบาลที่เกิดจากการกู้ยืมและการคำประกันเงินกู้โดยรัฐบาล จะเรียกว่าหนี้สาธารณะ เพราะหนี้เหล่านี้จะต้องช้ำระด้วยภาษีอากร ที่เรียกเก็บจากประชาชนทั้งประเทศ หนี้ของรัฐบาลที่เกิดจากการกู้ยืมโดยรัฐบาล เกิดจากรัฐบาลมีรายได้ไม่เพียงพอกับรายจ่าย
          งบประมาณแผ่นดิน เป็นแผนในการจัดหารายรับและรายจ่ายของรัฐบาลในช่วง 1 ปี ซึ่งเรียกว่า ปีงบประมาณ แต่ละประเทศจะมีวันเริ่มต้นไม่ตรงกัน สำหรับประเทศไทย จะเริ่มต้นวันที่ 1 ตุลาคม และสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน เช่น งบประมาณประจำปี 2554 จะเริ่มในวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ.2553 และสิ้นสุดใน วันที่ 30 กันยายน พ.ศ.2554 เป็นต้น
          นโยบายการคลัง เป็นแนวทางในการแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ ด้วยการใช้มาตรการทางการคลัง ซึ่งได้แก่ มาตรการทางภาษี การใช้จ่ายของรัฐบาล และการก่อหนี้สาธารณะ ซึ่งนโยบายการคลังมี 2 แบบที่สำคัญ คือ
          1. นโยบายการคลังแบบผ่อนคลาย จะดำเนินการด้วยมาตรการเพิ่มการใช้จ่ายของรัฐบาล ลดการเก็บภาษี
          2. นโยบายการคลังแบบเข้มงวด จะดำเนินการด้วยมาตรการลดการใช้จ่ายของรัฐบาลและเพิ่มการเก็บภาษี
          อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ หมายถึง ราคาของเงินสกุลหนึ่งที่คิดเทียบกับเงินสกุลอื่น อัตราแลกเปลี่ยนในระบบอัตราแลกเปลี่ยนลอยตัวจะถูกกำหนดโดยอุปสงค์ ต่อเงินตราต่างประเทศ และอุปทานของเงินตราต่างประเทศ เช่น เงิน 30 บาท = 1 ดอลลาร์ เปลี่ยนเป็น 33 บาท = 1 ดอลลาร์ หมายถึง เงินบาทอ่อนค่า และ 27 บาท = 1 ดอลลาร์ หมายถึง เงินบาทแข็งค่า

          ดุลการชำระเงิน เป็นการบันทึกจำนวนเงินตราต่างประเทศที่ประเทศได้รับและจ่ายในช่วงเวลาหนึ่ง ประกอบด้วยบัญชีใหญ่ 3บัญชี คือ
          1. บัญชีเงินเดินสะพัด เป็นบัญชีที่แสดงถึงรายได้และรายจ่ายของประเทศ
          2. บัญชีเงินทุนเคลื่อนย้าย เป็นบัญชีที่แสดงถึงจำนวนเงินลงทุน เงินกู้ยืม และเงินฝากทั้งระยะสั้นและระยะยาว ของชาวต่างประเทศที่เข้ามาลงทุนในประเทศ
          3. บัญชีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ เป็นทรัพย์สินที่สามารถใช้ชำระหนี้ระหว่างประเทศได้


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น