5.1) ความหมายของระบบเศรษฐกิจ
ระบบเศรษฐกิจ หมายถึง
กลุ่มบุคคลของสังคมที่รวมตัวกันเป็นกลุ่มของสถาบันทางเศรษฐกิจต่างๆ
ซึ่งยึดถือแนวปฏิบัติแนวทางเดียวกันในการประกอบกิจกรรมทางเศรษฐกิจ
โดยมีวัตถุประสงค์ร่วมกัน คือ อำนวยความสะดวกในการที่จะแก้ไขปัญหาพื้นฐานทางเศรษฐกิจ
เพื่อให้สามารถบำบัดความต้องการให้แก่บุคคลต่างๆ
ที่อยู่ร่วมกันในสังคมนั้นให้ได้รับประโยชน์มากที่สุด เกิดประสิทธิภาพสูงสุด (สุดารัตน์ พิมลรัตนกานต์, 2556)
5.2) รูปแบบของระบบเศรษฐกิจ
ระบบเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ ในโลกจะมีความแตกต่างกัน ทั้งนี้
ขึ้นอยู่กับรูปแบบการปกครอง ขนบธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรม
ตลอดจนแนวคิดในการบริหารเศรษฐกิจของผู้บริหารในแต่ละประเทศ
ระบบเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ ทั่วโลกสามารถแบ่งออกเป็น 4
ระบบใหญ่ๆ (สุดารัตน์ พิมลรัตนกานต์, 2556) ดังนี้
1.
ระบบเศรษฐกิจแบบเสรีนิยมหรือทุนนิยม (Laissez-Faire or
Capitalism)
ระบบเศรษฐกิจแบบเสรีนิยมหรือทุนนิยมเป็นระบบเศรษฐกิจที่ให้เสรีภาพแก่ภาคเอกชนใน
การเลือกดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจ เอกชนมีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน
สามารถเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิต เศรษฐทรัพย์ต่างๆ ที่ตนหามาได้
มีเสรีภาพในการประกอบธุรกิจ รวมทั้งการเลือกอุปโภคบริโภคสินค้า และบริการต่างๆ
แต่ทว่าเสรีภาพดังกล่าวจะต้องอยู่ภายใต้ขอบเขตของกฎหมาย กล่าวคือ การดำเนินการใดๆ
จะต้องไม่ละเมิดสิทธิเสรีภาพพื้นฐานของบุคคลอื่น
ใช้ระบบของการแข่งขันโดยมีราคาและระบบตลาดเป็นกลไกสำคัญในการจัดสรรทรัพยากร โดยรัฐบาลจะไม่เข้าไปเกี่ยวข้องในกิจกรรมทางเศรษฐกิจ
จะมีหน้าที่เพียงการรักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองและการป้องกันประเทศ
ข้อดีของระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม
-
เอกชนมีเสรีภาพในการเลือกตัดสินใจดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจตามที่ตนถนัด
-
กำไรและการมีระบบกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินเป็นแรงจูงใจทำให้การทำงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
กล่าวคือ เอกชนจะทำงานอย่างเต็มที่ เนื่องจากผลิตได้มากน้อยเท่าไรก็จะได้รับผล
ตอบแทนหรือรายได้ไปเท่านั้น
ภายใต้ระบบเศรษฐกิจระบบนี้จะมีการคิดค้นสิ่งประดิษฐ์หรือเทคนิคใหม่ๆ อยู่เสมอ
ทำให้เกิดการพัฒนาอยู่ตลอดเวลา
ข้อเสียของระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม
-
ก่อให้เกิดปัญหาความเหลื่อมล้ำอันเนื่องจากความสามารถที่แตกต่างกันในแต่ละบุคคลโดยพื้นฐาน
ทำให้ความสามารถในการหารายได้ไม่เท่ากัน
ผู้ที่มีความสามารถสูงกว่าจะเป็นผู้ได้เปรียบผู้ที่อ่อนแอกว่าในทางเศรษฐกิจ
-
ในหลายๆ กรณี
ราคาหรือกลไกตลาดยังไม่ใช่เครื่องมือที่มีประสิทธิภาพเพียงพอสำหรับการจัดสรรทรัพยากรของระบบเศรษฐกิจ
ตัวอย่างเช่น
สินค้าและบริการที่มีลักษณะของการผูกขาดโดยธรรมชาติหรือสินค้าและบริการสาธารณะ
ซึ่งได้แก่ บริการด้านสาธารณูปโภค (น้ำประปา ไฟฟ้า โทรศัพท์ ฯลฯ) โครงสร้างพื้นฐาน
(ถนน เขื่อน สะพาน ฯลฯ)
จะเห็นได้ว่าสินค้าและบริการดังกล่าวส่วนใหญ่จะต้องใช้เงินลงทุนมาก
เทคโนโลยีที่ทันสมัย เสี่ยงกับภาวะการขาดทุน เนื่องจากมีระยะการคืนทุนนาน
ไม่คุ้มค่าในเชิงเศรษฐกิจ ทำให้เอกชนไม่ค่อยกล้าลงทุนที่จะผลิต ส่งผลให้รัฐบาลต้องเข้ามาดำเนินการแทน
อันเนื่องจากสินค้าและบริการเหล่านี้เป็นสิ่งจำเป็นขั้นพื้นฐานที่ประชาชนต้องการ
จะเห็นได้ว่ากรณีดังกล่าวราคาไม่สามารถเข้ามาทำหน้าที่ในการจัดสรรทรัพยากรได้
-
การใช้ระบบการแข่งขันหรือกลไกราคาอาจทำให้เกิดการใช้ทรัพยากรทางเศรษฐกิจอย่าง
สิ้นเปลือง เช่น
ในบางช่วงที่มีการแข่งขันกันสร้างศูนย์การค้าเพราะคิดว่าเป็นกิจการที่ให้ผลตอบแทนหรือกำไรดี
ศูนย์การค้าเหล่านี้เมื่อสร้างขึ้นมามากเกินไปก็อาจไม่มีผู้ซื้อมากพอ
ทำให้ประสบกับการขาดทุน กิจการต้องล้มเลิก เสียทุนที่ใช้ไปในกิจการนั้น
เป็นการสูญเสียทรัพยากรทางเศรษฐกิจไปอย่างเปล่าประโยชน์และไม่คุ้มค่า เป็นต้น
2.
ระบบเศรษฐกิจแบบคอมมิวนิสต์ (Communism)
ระบบเศรษฐกิจแบบคอมมิวนิสต์เป็นระบบเศรษฐกิจที่มีลักษณะตรงกันข้ามกับระบบเศรษฐกิจแบบเสรีนิยมหรือทุนนิยม
ภายใต้ระบบเศรษฐกิจแบบคอมมิวนิสต์รัฐบาลเป็นเจ้าของทรัพยากรต่างๆ
รวมทั้งปัจจัยการผลิตทุกชนิด เอกชนไม่มีกรรมสิทธิ์ ตลอดจนเสรีภาพที่จะเลือกใช้
ปัจจัยการผลิตได้ รัฐบาลเป็นผู้ประกอบการและทำหน้าที่จัดสรรทรัพยากรต่างๆ
หน่วยธุรกิจและครัวเรือน จะผลิตและบริโภคตามคำสั่งของรัฐ
กลไกราคาไม่มีบทบาทในการแก้ไขปัญหาพื้นฐานทางเศรษฐกิจ
การแก้ไขปัญหาพื้นฐานทางเศรษฐกิจกระทำโดยรัฐบาล กล่าวคือ
รัฐบาลจะเป็นผู้ทำหน้าที่ตัดสินใจว่า ทรัพยากรต่างๆ
ที่มีอยู่ควรจะนำมาผลิตสินค้าและบริการอะไร ผลิตอย่างไร และผลิตเพื่อใคร
การตัดสินใจ มักจะทำอยู่ในรูปของการวางแผนแบบบังคับจากส่วนกลาง (central planning)
โดยคำนึงถึงสวัสดิการ ของสังคมส่วนรวมเป็นสำคัญ
โดยสรุประบบเศรษฐกิจแบบนี้จะมีลักษณะเด่นอยู่ที่การรวมอำนาจทุกอย่าง
ไว้ที่ส่วนกลาง รัฐบาลจะเป็นผู้วางแผนแต่เพียงผู้เดียว
เอกชนมีหน้าที่เพียงแต่ทำตามคำสั่งของทางการ เท่านั้น
ข้อดีของระบบเศรษฐกิจแบบคอมมิวนิสต์
-
จุดเด่นของระบบเศรษฐกิจแบบคอมมิวนิสต์ก็คือ
เป็นระบบเศรษฐกิจที่ช่วยลดปัญหาความเหลื่อมล้ำทางฐานะและรายได้ของบุคคลในสังคม
ภายใต้ระบบเศรษฐกิจนี้เอกชนจะทำการผลิตและ บริโภคตามคำสั่งของรัฐ
ผลผลิตที่ผลิตขึ้นมาจะถูกนำส่งเข้าส่วนกลาง และรัฐจะเป็นผู้จัดสรรหรือแบ่งปัน
สินค้าและบริการดังกล่าวให้ประชาชนแต่ละคนอย่างเท่าเทียมกันโดยไม่มีการได้เปรียบเสียเปรียบ
ข้อเสียของระบบเศรษฐกิจแบบคอมมิวนิสต์
- ประชาชนไม่มีเสรีภาพที่จะผลิตหรือบริโภคอะไรได้ตามใจ
ถูกบังคับหรือสั่งการจากรัฐ
-
สินค้ามีคุณภาพไม่ดีเท่าที่ควร เนื่องจากผู้ผลิตขาดแรงจูงใจ
เพราะไม่ว่าจะผลิตสินค้าได้ มากน้อยเพียงใด คุณภาพเป็นอย่างไร
ผู้บริโภคก็ไม่มีทางเลือกจะต้องบริโภคตามการปันส่วนที่รัฐจัดให้
-
การใช้ทรัพยากรทางเศรษฐกิจอาจเป็นไปอย่างไม่มีประสิทธิภาพ
เนื่องจากรัฐบาลไม่สามารถที่จะมีข่าวสารสมบูรณ์ในทุกๆ เรื่อง เช่น
รัฐไม่รู้ความต้องการที่แท้จริงของประชาชนทำให้ผลิต สินค้าที่ไม่ตรงกับความต้องการ
ส่งผลให้มีสินค้าเหลือ (ไม่เป็นที่ต้องการ) จะเห็นได้ว่าลักษณะดังกล่าว
ก่อให้เกิดการสูญเสียทรัพยากรของประเทศไปโดยเปล่าประโยชน์ เป็นต้น
3.
ระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยม (Socialism)
ระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยมเป็นระบบเศรษฐกิจที่มีลักษณะใกล้เคียงกับระบบเศรษฐกิจ
แบบคอมมิวนิสต์
ภายใต้ระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยมรัฐจะเป็นผู้ครอบครองทรัพยากรการผลิตพื้นฐาน
ไว้เกือบทั้งหมด และเป็นผู้วางแผนเศรษฐกิจ กำหนดแนวทางการแก้ไขปัญหาพื้นฐาน กิจการหลักที่มี
ความสำคัญต่อเศรษฐกิจส่วนรวมของประเทศ เช่น ธุรกิจธนาคาร อุตสาหกรรมเหมืองแร่
ป่าไม้ น้ำมัน กิจการสาธารณูปโภค และสาธารณูปการต่างๆ ฯลฯ
รัฐจะเป็นผู้เข้ามาดำเนินการเอง อย่างไรก็ตาม
รัฐยังให้เสรีภาพแก่ประชาชนบ้างพอสมควร เอกชนมีเสรีภาพและกรรมสิทธิ์ในการถือครองทรัพย์สิน
เช่น สามารถทำธุรกิจค้าขายขนาดย่อมระหว่างท้องถิ่นใกล้เคียง
สามารถถือครองกรรมสิทธิ์ที่ดินทำกิน เพื่อการยังชีพ โดยสรุป
ระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยมเป็นระบบเศรษฐกิจที่อาศัยกลไกรัฐเป็นกลไกสำคัญในการจัดสรรทรัพยากรของระบบเศรษฐกิจ
แต่ทว่ากลไกราคาพอจะมีบทบาทอยู่บ้างในระบบเศรษฐกิจนี้
ข้อดีของระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยม
-
ระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยมเป็นระบบเศรษฐกิจที่มีส่วนช่วยลดปัญหาความเหลื่อมล้ำทาง
ฐานะและรายได้ของบุคคลเช่นเดียวกับระบบเศรษฐกิจแบบคอมมิวนิสต์ นอกจากนั้น
ภายใต้ระบบเศรษฐกิจนี้เอกชนมีเสรีภาพและมีกรรมสิทธิ์ในการถือครองทรัพย์สินบ้างพอสมควร
ข้อเสียของระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยม
-
ภายใต้ระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยม
เนื่องจากปัจจัยการผลิตพื้นฐานอยู่ในการควบคุมของ รัฐบาลทำให้ขาดความคล่องตัว
การผลิตถูกจำกัดเพราะต้องผลิตตามที่รัฐกำหนด โอกาสที่จะขยายการผลิตหรือพัฒนาคุณภาพการผลิตเป็นไปค่อนข้างลำบาก
ทำให้การใช้ทรัพยากรทางเศรษฐกิจอาจเป็นไปอย่างไม่มีประสิทธิภาพ
ในลักษณะเดียวกับระบบเศรษฐกิจแบบคอมมิวนิสต์
4.
ระบบเศรษฐกิจแบบผสม (Mixed Economy)
ระบบเศรษฐกิจแบบผสมเป็นระบบเศรษฐกิจที่มีลักษณะผสมผสานระหว่างระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม
กับระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยม กล่าวคือ
ภายใต้ระบบเศรษฐกิจแบบผสมทั้งรัฐบาลและเอกชนต่างมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาพื้นฐานทางเศรษฐกิจ
ปัจจัยการผลิตมีทั้งส่วนที่เป็นของรัฐบาลและเอกชน ในส่วนที่เป็นแบบทุนนิยม คือ
เอกชนมีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินบางอย่าง มีเสรีภาพในการเลือกผลิตหรือบริโภค
ใช้ระบบของการแข่งขัน กลไกราคาเข้ามาทำหน้าที่จัดสรรทรัพยากร
ส่วนที่เป็นแบบสังคมนิยม คือ
รัฐบาลเข้ามาควบคุมหรือเข้ามาดำเนินกิจการที่มีความสำคัญต่อความเป็นอยู่ของประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ
เช่น กิจการสาธารณูปโภค อุตสาหกรรมหลัก และอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่ต้องมีการลงทุนมากเพราะหาเอกชนลงทุนได้ยาก
เนื่องจากเป็นกิจการที่ต้อง เสี่ยงกับการขาดทุนหรือไม่คุ้มกับการลงทุน
แต่กิจการเหล่านี้จำเป็นต้องมีเพราะเป็นปัจจัยพื้นฐานต่อการดำรงชีพ เช่น ไฟฟ้า
น้ำประปา การขนส่ง และคมนาคม เหตุที่รัฐบาลเข้ามาดำเนินการในกิจการดังกล่าวก็เพื่อขจัดปัญหาในเรื่องการผูกขาดหรือเอารัดเอาเปรียบ
ซึ่งมักจะเกิดขึ้นถ้าปล่อยให้เอกชนทำการแข่งขัน
โดยสรุปแล้วระบบเศรษฐกิจแบบผสมจึงเป็นระบบเศรษฐกิจที่มีการใช้ทั้งระบบกลไกราคา
หรือระบบตลาดควบคู่ไปกับระบบกลไกรัฐในการจัดสรรทรัพยากร
ข้อดีของระบบเศรษฐกิจแบบผสม
-
เป็นระบบเศรษฐกิจที่ค่อนข้างมีความคล่องตัว กล่าวคือ
มีการใช้กลไกรัฐร่วมกับกลไกราคาในการจัดสรรทรัพยากรของระบบ
กิจการใดที่กลไกราคาสามารถทำหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
รัฐก็จะปล่อยให้เอกชนเป็นผู้ดำเนินการ (ใช้ระบบของการแข่งขัน) แต่ถ้ากิจการใดที่กลไกราคาไม่สามารถทำหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพรัฐก็จะเข้ามาดำเนินการแทน
จะเห็นได้ว่าระบบเศรษฐกิจแบบผสมเป็นระบบเศรษฐกิจที่ผสมผสาน กล่าวคือ
รวมข้อดีของทั้งระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมและสังคมนิยมเข้าไว้ด้วยกัน อย่างไรก็ตาม
ระบบเศรษฐกิจดังกล่าวก็มีข้อเสียด้วยเช่นกัน
ข้อเสียของระบบเศรษฐกิจแบบผสม
-
การมีกำไรและระบบกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินอาจก่อให้เกิดปัญหาความเหลื่อมล้ำทางฐานะ
และรายได้เช่นเดียวกับระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม
-
การที่รัฐสามารถเข้ามาแทรกแซงตลาดโดยใช้กลไกรัฐอาจก่อให้เกิด
-
ปัญหาการฉ้อราษฎร์บังหลวง ทำให้เกิดการบิดเบือน
การใช้ทรัพยากรของระบบ เศรษฐกิจเป็นไปอย่างไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร
-
ปัญหาเอกชนไม่กล้าลงทุนอย่างเต็มที่เนื่องจากไม่แน่ใจในสถานการณ์ทางการเมือง
และนโยบายของรัฐบาลซึ่งมีความผันผวนและแปรเปลี่ยนได้ง่าย
อาจทำให้เศรษฐกิจเกิดการหยุดชะงัก
การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจเป็นไปอย่างไม่ต่อเนื่อง
5.3) ความหมายและความสำคัญของการพัฒนาเศรษฐกิจ
ระบบเศรษฐกิจภายในของประเทศไทยเป็นแบบผสม หมายถึง
ระบบเศรษฐกิจที่รัฐเข้ามามีส่วนในการดำเนินกิจกรรม ทางเศรษฐกิจของประเทศหลายประการ
แต่กิจกรรมทางเศรษฐกิจส่วนใหญ่จะเป็นของเอกชน ซึ่งเป็นระบบที่ประเทศ ต่างๆ
ทั่วโลกนิยมใช้ในปัจจุบัน อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจสูงประมาณ 7-8% ซึ่งถ้ามองในทางเศรษฐศาสตร์แล้ว
ตัวเลขดังกล่าวมีผลในการกระตุ้นให้เกิดการลงทุนในภาคเอกชนเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้เป็นผลเนื่องมาจากการที่รัฐบาลมีนโยบายที่จะสนับสนุนและส่งเสริมการลงทุนภายในประเทศอย่างจริงจัง
ทั้งในด้านการพัฒนาการผลิตเพื่อทดแทนการนำเข้า และการพัฒนาการผลิตเพื่อส่งออก (สุดารัตน์ พิมลรัตนกานต์, 2556)
ระบบเศรษฐกิจของไทยจำเป็นต้องพึ่งพาทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ
มีการแข่งขันกันผลิต มีการขาย และมี การจัดการตามระบบการค้าเสรี
ปัจจุบันรายได้สูงสุดของประเทศมาจากสินค้าทางการเกษตรถึงร้อยละ 60 ของรายได้ จากการส่งออกทั้งหมด และจากการจ้างแรงงานในสาขาเกษตรถึงร้อยละ 70 ของแรงงานทั่วประเทศ รัฐบาลจึงให้ความ
สำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจทางด้านการเกษตรเป็นพิเศษ และด้านอุตสาหกรรม
การคมนาคมขนส่ง การพาณิชย์และ การท่องเที่ยว เป็นอันดับที่ลดหลั่นลงมา
5.4) ระดับการพัฒนาและปัจจัยที่มีผลต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ
ระดับการพัฒนาและปัจจัยที่มีผลต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ
ได้แก่ (สุดารัตน์ พิมลรัตนกานต์,
2556)
1.
เทคโนโลยี เทคโนโลยีมีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ
รวมทั้งการสร้างนวัตกรรมที่สำคัญที่มีผลต่อการเติบโตของอุตสาหกรรมและการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว
ประเทศผู้ที่มาทีหลังในการปฏิวัติอุตสาหกรรม (เช่น สหรัฐฯ กับจีน)
สามารถเรียนรู้ความผิดพลาดในการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจของประเทศที่เริ่มต้นกระบวนการพัฒนาอุตสาหกรรมมาก่อน
รวมทั้งประเทศผู้มาทีหลังไม่จำเป็นต้องเสียทรัพยากรในการแสวงหาความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี
เพราะสามารถนำเทคโนโลยีอันทันสมัยจากประเทศที่เริ่มต้นการพัฒนาอุตสาหกรรมมาใช้ได้ทันที
โดยมีการปรับปรุงและคิดค้นเพิ่มเติมให้มีความทันสมัยมากขึ้น
เมื่อเทียบกับในสมัยเริ่มต้นเมื่อกว่า 200 ปีมาแล้ว
ในกรณีของสหรัฐฯ สามารถพัฒนาต่อยอด เครื่องปั่นด้ายเพื่อพัฒนาโรงงานทอผ้า
โดยปรับปรุงให้เข้ากับสภาพที่สอดคล้องกับปัจจัยการผลิตของระบบเศรษฐกิจที่มีแรงงานขาดแคลน
ซึ่งต้องเน้นเทคโนโลยีที่ประหยัดแรงงาน เพื่อช่วยทุ่นแรง ผลที่ตามมาก็คือ สหรัฐฯ
สามารถปรับปรุงการผลิตเพื่อให้มีระบบการผลิตทีละมากๆ (mass production) สหรัฐฯ จึงเป็นผู้นำในการผลิตสินค้าอุตสาหกรรมมาโดยตลอด
และสามารถพัฒนาอุตสาหกรรมได้รวดเร็วกว่า
2.
การเคลื่อนย้ายเงินทุนระหว่างประเทศ การเคลื่อนย้ายเงินทุนจากประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจและประเทศอื่นๆ
เช่น สหรัฐอเมริกาไปสู่ประเทศที่เกิดใหม่ เช่น จีน
มีผลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจและเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางเศรษฐกิจของจีนเป็นอันมาก
การเคลื่อนย้ายแหล่งผลิตของบรรษัทข้ามชาติ แม้จะมีผลต่อการสะสมทุนของประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ
เช่น สหรัฐอเมริกา
แต่ก็สร้างการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจแก่ประเทศผู้ได้รับลงทุนด้วยโครงสร้างการส่งออกและการผลิตของจีนได้แปรเปลี่ยนจากประเทศผู้เป็นผู้ส่งออกสินค้าขั้นปฐมมาเป็นประเทศผู้ส่งสินค้าอุตสาหกรรมรายใหญ่ของโลก
การเติบโตของการส่งออกของจีน เป็นการเติบโตอย่างก้าวกระโดดมากในระยะ 2 ทศวรรษที่ผ่านมา ด้วยการที่เป็นประเทศขนาดใหญ่มีประชากรมากกว่า 1 พันล้านคน และมีแรงงานเหลือเฟือในชนบท ต้นทุนการผลิตอยู่ในระดับต่ำ
3.
ปัจจัยทางสังคมมีผลสำคัญต่อการปฏิวัติอุตสาหกรรมและนำไปสู่การเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของโลก
ความรู้ของโลกตะวันตกมีพื้นฐานมาจากความคิดพื้นฐานทางด้านวิทยาศาสตร์ เสรีภาพ
การแข่งขัน การบริโภคนิยม
และเน้นความเอาจริงเอาจังในการทำงานหรือมีความรับผิดชอบในจริยธรรมของการทำงาน
ซึ่งนำไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจเพื่อเพิ่มผลผลิตให้สูงขึ้น แม้ว่าในระยะหลังสหรัฐอเมริกาในฐานะที่เป็นผู้นำของโลกในคริสต์ศตวรรษที่
20 มีความถดถอยลงและแม้จีนรวมทั้งประเทศอื่นๆ ในเอเชียและแปซิฟิกจะมีความสำคัญในเศรษฐกิจโลกเพิ่มขึ้นตามลำดับแต่ไม่ได้หมายความว่า
ประเทศเหล่านี้จะเป็นผู้นำทางเศรษฐกิจได้โดยง่าย
เพราะองค์ประกอบของปัจจัยทางสังคมดังกล่าวข้างต้น จะเทียบเท่าได้กับโลกตะวันตก
และคงต้องใช้ระยะเวลาอีกนานถึงจะเทียบเท่าหรือเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจได้ แม้จีน
(รวมทั้งอินเดีย)
4.
กติกาการค้าระหว่างประเทศ
มีผลสำคัญต่อปัจจัยที่มีผลต่อดุลอำนาจทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ
หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ยุติลง และผู้นำในของโลกเสรีสนับสนุนให้มีกติกาการค้า
ระหว่างประเทศโดยเสรี
สนับสนุนภาคเอกชนมีบทบาททางเศรษฐกิจและส่งเสริมสนับสนุนให้มีการลงทุนโดยบรรษัทข้ามชาติโดยสหรัฐอเมริกามีบทบาทสำคัญในการผลักดันองค์การระหว่างประเทศ
อันประกอบไปด้วย ธนาคารโลก และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ
รวมทั้งข้อตกลงทั่วไปว่าด้วยภาษีศุลกากรและการค้าระหว่างประเทศ (General
Agreement on Tariff and Trade = GATT)
5.5) การวางแผนเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจ
การพัฒนาเศรษฐกิจเป็นกระบวนการที่มีความจำเป็นและมีความสำคัญมากกับทุกๆ
ประเทศในโลก ไม่ว่าประเทศนั้นจะมีระดับของการพัฒนาอยู่ในระดับใดก็ตาม (สูง ปานกลาง
หรือต่ำ) สำหรับประเทศไทยซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มประเทศที่พัฒนาในระดับ ปานกลาง
(ประเทศกำลังพัฒนา)
ก็เช่นเดียวกันยังจำเป็นต้องปรับสภาพของเศรษฐกิจและสังคมเพื่อยกระดับมาตรฐานการครองชีพให้ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
(สุดารัตน์ พิมลรัตนกานต์, 2556)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น